วันเสาร์ที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2559

10 เคล็ดลับ จำง่าย การอ่านหนังสือสอบ CoolYellLaughing


1. ปิด ทีวี คอมพิวเตอร์ อินเตอร์เน็ต mp3 มีสติอยู่กับหนังสือ 
2. นั่งสมาธิสัก 5 นาที 
3. อ่านหนึ่งรอบ แล้วสรุป โดยไม่เปิดหนังสือ 
4. เช็คคำตอบ 
5. อ่านอีกหนึ่งรอบ 
6. สรุปใหม่ เปิดหนังสือได้เอาไว้อ่าน 
7. ถ้าทำเป็น Mind Mapping จะอ่านง่ายขึ้น 
8. มีเอกสารอะไรที่ครูแจก อย่าคิดว่าไม่สำคัญ 
9. ท่องในส่วนที่ครูพูดย้ำบ่อยๆ อย่างน้อย 2 ครั้ง/คาบ 
10. ก่อนวันสอบ ห้ามหักโหมอ่านหนังสือถึงเที่ยงคืน เพราะสมองจะไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้น

ที่มา http://www.dek-d.com/board/view/1610287/

6 สิ่งที่ต้องเตรียมก่อนสอบเข้ามหาวิทยาลัย

     ในช่วงชีวิตการเรียนนั้นการสอบเข้ามหาวิทยาลัยน่าจะเป็นช่วงเวลาที่หนักที่สุด ทั้งในด้านความกดดัน และด้านคู่แข่งที่มากมาย หลายๆคนอาจมัวแต่เรียนพิเศษ เสียจนลืมเตรียมตัวด้านอื่นก่อนสอบมหาวิทยาลัยไปแล้ว วันนี้ Top-A tutor จึงมีบทความดีๆเกี่ยวกับสิ่งที่ต้องเตรียมก่อนสอบเข้ามหาวิทยาลัยมาฝากน้องๆทุกๆคนกัน



1. ค้นหาตัวเองให้เจอ
     น้องๆจำนวนมาก แม้กระทั่งม.6 แล้วก็อาจจะยังไม่รู้ว่าอยากเป็นอะไร หรืออยากเข้าคณะอะไร มีหน้าที่เรียนไปเรื่อยๆ คณะก็เลือกตามเพื่อนๆเอา หรือเลือกตามที่พ่อแม่แนะนำให้เลือกเอา ซึ่งการเลือกเช่นนั้นเป็นวิธีการที่ผิดเป็นอย่างมาก เพราะถ้าหากว่าน้องๆเข้าไปเรียนแล้วไม่ชอบ ไม่ใช่ ก็อาจต้องเสียเวลา “ซิ่ว” มาเรียนคณะอื่น หรือต่อให้จบแล้วอาจจะต้องทนทำงานนั้นไปตลอดชีวิตก็คงจะไม่ดีแน่ๆ ดังนั้นน้องๆต้องค้นหาตัวเองให้เจอครับ ว่าเราชอบคณะอะไร ชอบทำอาชีพอะไร ซึ่งอาจทำได้โดยดูจากลักษณะนิสัยของตัวเอง ถามรุ่นพี่คณะต่างๆ หรือเข้าร่วมค่ายที่จัดโดยคณะต่างๆเพื่อค้นหาตัวเองให้เจอว่าคณะไหนนั้น “ใช่” สำหรับเรา
2. หาข้อมูลการสอบ
     วิธีการรับนักเรียนเข้าศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัยนั้นก็มีหลากหลายทางไม่ว่าจะเป็น รับตรงของมหาวิทยาลัยเอง โควต้าชนิดต่าง หรือจะเป็นการรับผ่านระบบของการสอบกลาง ก็แล้วแต่ ดังนั้นน้องๆก็ควรจะหาข้อมูลให้พร้อมว่าคณะที่เราอยากเข้านั้นรับนักเรียนเข้าศึกษาต่อผ่านทางไหนบ้าง เพราะยิ่งเราทราบวิธีการรับนักเรียนมากวิธีเท่าไหร่โอกาสในการที่จะได้เข้าคณะนั้นๆก็ยิ่งสูงขึ้นไงครับ
3. ถามรุ่นพี่คณะนั้นๆให้ชัวร์
     การถามรุ่นพี่คณะนั้นๆไม่ใช่การถามถึงวันสอบ การยื่นคะแนน หรืออะไรแนวนั้นนะครับ แต่เป็นการถามถึงรูปแบบการเรียนในมหาวิทยาลัยของคณะนั้นๆ งานที่รองรับเมื่อจบแล้ว เพื่อที่น้องๆจะได้ทราบว่าการเข้าไปเรียนนั้นน้องๆจะเรียนได้รึป่าว เรียนไหวไหม หรือจบมาแล้วรูปแบบการทำงานลักษณะแบบนี้โอเคไหม เป็นต้น
4. เตรียมจัดตารางการอ่านหนังสือ
     การสอบเข้ามหาวิทยาลัยนั้นเราจะต้องแข่งขันกับนักเรียนทั้งประเทศ ดังนั้นย่อมไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างแน่นอนใช่ไหมละครับ ดังนั้นน้องๆโดยเฉพาะอย่างยิ่งม.6 จะมามัวแต่เล่น เที่ยว หรือเกเร ไม่ได้แล้วนะครับ น้องๆจะต้องมีการจัดตารางการอ่านหนังสือให้พร้อม โดยควรจัดตารางการอ่านหนังสือตั้งแต่เนิ่นๆ อาจจะตั้งแต่เปิดเทอมม.6 และควรวางแผนให้อ่านจบทั้งหมดก่อนสอบประมาณ 1-2 เดือน ไม่ใช่จบในคืนก่อนสอบละครับ
5. ทำโจทย์นั้นสำคัญ
     นอกจากเนื้อหาที่เราควรอ่านให้จบก่อนสอบ 1-2 เดือนแล้ว การทำข้อสอบก็สำคัญไม่แพ้กัน โดยอาจทำโจทย์ไปพร้อมกับการอ่าน หรือทำในช่วง 1-2 เดือนที่เหลือจากการอ่านเนื้อหาก็ได้ แต่ต้องทำ!! เพราะการทำโจทย์นั้นจะทำเหมือนเป็นการลงสนามจริงหลังจากที่อ่านเนื้อหามาอย่างพร้อมแล้ว เพื่อที่จะประเมินว่าเรายังบกพร่องตรงจุดไหน หรือจริงๆแล้วที่เราอ่านมานั้นเราสามารถนำมาใช้ในการทำข้อสอบได้ดีแค่ไหน จะได้ปรับปรุงกันต่อไปไงครับ
6. ท้อได้ แต่อย่าถอย!
     ข้อนี้สำคัญมากนะครับ ในการเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัยนั้นคงเป็นช่วงชีวิตในการเรียนที่หนักที่สุดของน้องๆแล้วละ เพราะต้องแข่งกับนักเรียนทั้งประเทศ หลายครั้งที่อ่านหนังสือน้องๆอาจจะท้อ ซึ่งถ้าหากท้อก็อยากให้หยุดอ่านสักพัก ไปทำกิจกรรมอื่นๆที่อยากทำ และกลับมาอ่านหนังสือต่อ อย่าเพิ่งถอยจนเลิกอ่านไปเลย เพราะระหว่างที่เรากำลังเล่น คนอื่นอาจจะกำลังอ่าน และระหว่างที่เรากำลังอ่าน คนอื่นอาจจะกำลังอ่านมากกว่าก็ได้นะ......ท้อได้ แต่อย่าถอย กันละ พี่ๆขอเป็นกำลังใจให้น้องๆทุกคนนะ

ที่มา http://www.top-atutor.com/15257571/6-%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A1%E0%B8%81%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B9%80%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%A2

ตัวอย่างการเขียนบทสัมภาษณ์


ทำไมห้องนี้มีแต่เครื่องดนตรีเยอะแยะคะ ?
              “ ผมเป็นคนรักเสียงเพลง เสียดนตรี มีเจ้าพวกนี้เป็นเพื่อนตั้งแต่เด็ก ๆ ละ ถ้าขาดพวกมันไปผมก็ไม่รู้จะเอาอะไรกิน ” ในวัยเด้กอายุเพียง 13 ขวบ เขาหาเงินเองตั้งแต่เด้กกับ กีตาร์ สุดรักของเขา “ ตั้งแต่เด็กผมไม่เคยขอเงินพ่อ เงินแม่เลยเพียงแค่ผมมีกีตาร์หนึ่งตัวกับความกล้าที่จะไปเล่นโฟล์คตามสถานบันเทิงต่าง ๆ ผมก็มีกินด้วยความสามารถของผมแล้ว ”
              เมื่อ พี่เต้ ได้ทดลองเล่นเครื่องดนตรีต่าง ๆ ที่อยู่ในห้องของเขาแล้ว เขารู้สึกว่าตัวเองเก่งมาก ๆ เลยก็ว่าได้ “ ผมเล่นเครื่องดนตรีทุกชิ้นได้โดยไม่ต้องให้ใครสอนเพราะประสบการณ์จะสอนผมเอง ” เมื่อก่อนผมอาจจะไปไหนมาไหนกับ กีตาร์ ตัวใหญ่ของผม แต่ผมว่ามันใหญ่ไปนะผมอยากหาอะไรที่พอดีและให้เสียงเพลงได้ทุกที่ที่มีผม
              “ ผมเจอเขามาไม่นานนี้เอง เขาอยู่กับผมทุกวัน ทุกเวลา ทุกสถานที่ ผมไม่เคยบ่นให้เขาฟังเลยไม่ว่าผมจะเจอปัญหาอะไรมาเขาก็อยู่เป็นเพื่อนผมตลอดไม่เคยห่างผมไปไหน เขาทำให้ผมหายเครียดอย่างน่าประหลาดใจ ผมนำเขาเข้ามาอยู่ในโลกของผมโลกส่วนตัวที่ไม่มีใครเข้าใจผม แต่เขากับเข้าใจผมและเขาคืนสิ่งที่ผมรักและหวงแหนมากที่สุดในชีวิตเลยก็ว่าได้ ”
              สิ่งที่เขาพูดมานี้เขากำลังหมายถึง “ อูคูเลเล่ ”

ทำไมถึงเลือก อูคุเลเล่
              ผมว่ามันน่ารักนะ ที่จริงผมรู้จักเจ้าตัวเล็กนี้มานานแล้วล่ะแต่ช่วงนั้นกระแสมันไม่ค่อยแรง ผมเลยมองข้ามมันไปและพอไม่กี่เดื่อนที่ผ่านมานี้ มันก็กลับมาแรงอีกครั้ง ผมจึงสนใจมัน ครั้งแรกที่ผมจับเจ้า อูคูเลเล่ นี้ผมรู้สึกหลงรักมันขึ้นมาทันที ก่อนที่ผมจะตัดสินใจซื้อ ผมได้ศึกษามันมาอย่างดี ผมสนใจในต้นกำเนิดของมันมันเกิดขึ้นมาใน ศตวรรษที่ 19 ชาวโปรตุเกสได้นำมันเข้ามาและชาวพื้นเมืองฮาวายได้พยายามเลียนแบบแต่สร้างด้วยไม้ Koa ซึ้งอยู่ในเกาะ ฮาวาย เท่านั้น ผมอ่านแค่นี้ผมก็รู้ถึงความมหัศจรรย์ของมันมาก ผมตัดสินใจซื้อมันมาเล่น ผมเล่นมันอยู่ทุกวันจนปัจจุบันนี้ผมมี 4 ตัว และผมก็ใช่มันเป็นเครื่องหากินเหมือนกัน ส่วนใครที่อยากเล่นแต่มีปัญหาเรื่องของนิ้วสั้น แต่อยากเล่นผมมีข้อแนะนำให้เล่น ทรง โซปราโน เพราะมันตัวเล็กจับคอร์ดง่าย และเจ้า อูคูเลเล่ นี้ มี 4 ไซล์ให้ได้เลือกอีกนะทั้ง โซปราโน , คอนเสิร์ต , เทนเนอร์ , และ บาร์โทน มันดูคล้ายกับ กีตาร์ย่อส่วนที่สร้างความชื่นชอบให้กับชาว ฮาวาย เป็นอย่างมาก ถึงขั้นว่าพระราชา Kalakaua ส่งเสริมให้เล่นประกอบกับการเต้นแบบ ฮาวาย อีกด้วย
              ผมว่าเสน่ห์ของเครื่องดนตรี ฮาวาย ชนิดนี้ไม่ใช่เพราะเห่อตามพวก ดารา นักร้อง หรอกแต่เมื่อใครได้พบเห็นและสัมผัสก็จะเห็นความน่ารักในตัวของมันเอง
นอกจากเป็นนักร้อง/นักดนตรีแล้ว คุณทำอย่างอื่นมั้ยคะ ?
              ผมเป็น DJ อยู่ที่คลื่น 107 Love Fm จัดรายการ จันทร์-ศุกร์ เวลา 13.00 น.- 16.00 น. ที่นิยมพานิตย์ ลำปาง และผมก็เป็นครูสอน อูคูเลเล่ อยู่ที่ร้านสกุลไทย สอนเสาร์-อาทิตย์ ชั่วโมงละ 100 บาท มีเด็กมาเรียนกับผมเยอะ ผมว่าเด็กสมัยนี้เค้าให้ความสนใจกับ ดนตรี กันมากนะ ใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ บางคนหัวไวมาเรียนแปบเดียวก็เป็น แต่บางคนก็ยัง งง ๆ กับคอร์ดอยู่ แต่ผมไม่ได้ว่าหรือติใครนะ ผมมองว่ามันเป็นเรื่องธรรมดามากกว่า ของแบบนี้มันอยู่ที่ พรสวรรคืและความตั้งใจจริงของู้เรียนมากกว่า ส่วนใครจะเรียนตามกระแสหรือเรียนเพื่ออะไรผมว่าทุกอย่างที่เขาทำ เขาคือคนกำหนดเอง

คุณวางแผนอนาคตเกี่ยวกับงานของคุณไว้ยังไงบ้าง
              ผมว่า ผมไม่รู้อนาคตผมนะไม่มีใครรู้อนาคตของตัวเอง แต่ถ้าถามถึงตัวผมผมก้จะทำงานเกี่ยวกับเสียงเพลง เสียงดนตรีแบบนี้ไปเรื่อย ๆ จนกว่าผมคิดว่าตัวเองไม่ไหวจริง ๆ ผมถึงจะหยุด อนาคตของผมมันขึ้นอยู่กับปัจจุบันที่ผมทำ แต่ผมว่าไม่ว่าจะปัจจุบันหรืออนาคตของผม ยังไงก็ขาดเสียงเพลงไม่ได้

ที่มา http://www.oknation.net/blog/9A3T/2011/08/07/entry-1

สาขาวิชาทั้งหมด

เกษตรกรรมและสัตวแพทย์ศาสตร์




ไม่ได้เรียนแค่ เรื่องพืชไร่ แต่คุณจะได้เรียนอุตสาหกรรมการเกษตรและการทำฟาร์มทั้งหมด เช่น การจัดการพื้นที่ชนบท, การให้ยาปศุสัตว์, การตัดต่อพันธุกรรมพืช, การถนอมอาหารและ การเปลี่ยนของภูมิ
อากาศ

มีวิชาดังต่อไปนี้

    เกษตรศาสตร์ การจัดการฟาร์ม ปศุุศัตว์ การทำสวน วิทยาศาสตร์การเพาะปลูกพืชผล สัตวแพทยศาสตร์

วิทยาศาสตร์บริสุทธิ์และวิทยาศาสตร์ประยุกต์





เรียนวิถีชีวิต, ธรรมชาติและทุอกอย่างที่อยู่รอบๆตัวเรา คุณจะได้พัฒนาวิธีคิดแบบวิทยาศาสตร์, ทักษะทางตัวเลข และระบบการคิดเพื่อแก้ปัญหา


มีวิชาดังต่อไปนี้


ดาราศาสตร์ ชีววิทยา วิทยาศาสตร์ ชีวการแพทย์เ คมีธรณีศาสตร์ วิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม วิทยาศาสตร์การอาหารและเทคโนโลยี วิทยาศาสตร์ทั่วไป ภูมิศาสตร์กายภาพ วิทยาศาสตร์ชีวิตวัสดุศาสตร์ คณิตศาสตร์ฟิสิกส์วิทยาศาสตร์การกีฬา



สถาปัตยกรรมและการก่อสร้าง







การผสมกันระหว่างจินตนาการในการออกแบบอาคารและการใช้พื้นเพื่อประโยชน์ใช้สอยที่ลงตัว และวิทยาศาสตร์, มนุษย์ศาสตร์, วิจิตรศิลปและ ประยุกต์ศิลป์ เพื่อสร้างสรรค์และออกเเบบเมืองให้น่าอยู่


มีวิชาดังต่อไปนี้
สถาปัตยกรรมศาสตร์ สิ่งแวดล้อมสรรค์สร้าง การก่อสร้าง การบริการซ่อมบำรุง การวางแผนงาน การบริหารจัดการทรัพย์สินการสำรวจ



ธุรกิจและบริหาร


ครอบคลุมการเงิน, การบัญชี, การตลาด, การจัดการทรัพยากรบุคคลและการบริหารงาน คุณจะได้เรียนการฝึกทักษะที่เพื่อริเริ่มพัฒนาโปรเจกต์ของคุณเองและ โปรเจกต์ของบริษัทระดับโลก

มีวิชาดังต่อไปนี้
การบัญชี ธุรกิจศึกษา พาณิชย์อิเล็คทรอนิคส์ วิชาผู้ประกอบการ การเงิน การจัดการทรัพยากรมนุษย์ การจัดการ     การตลาด การบริหารสำนักงาน การจัดการคุณภาพ การค้าปลีก การขนส่งและโลจิสติก



วิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์และไอที


พัฒนาความสามารถของคุณในทางความคิดสร้างสรรค์และการปฏิบัติ! คุณจะได้ศึกษาการสร้างภาพของการทำงานจากการวาดภาพคอมพิวเตอร์กราฟิกและวิดีโอเกมรวมทั้งงานศิลปะและการออกแบบผลิตภัณฑ์

มีวิชาดังต่อไปนี้

วิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ การคำนวณ เทคโนโลยีสารสนเทศ มัลติมีเดีย ซอฟต์แวร์และโปรแกรมคอมพิวเตอร์



ศิลปะและการออกแบบ


พัฒนาความคิดสร้างสรรค์ทั้งภาคทฤษฎีและปฏิบัติ! คุณจะได้เรียนการทำภาพขจากคอมพิวเตอร์กราฟิกและ วิดีโอเกม รวมทั้งงานศิลปะแบบวิจิตรศิลป์ และการออกแบบผลิตภัณฑ์

มีวิชาดังต่อไปนี้
ศิลปะ การบริหารศิลปะ หัตถกรรมและงานฝีมือ เต้นรำ การออกแบบที่ไม่ใช่ทางอุตสาหกรรม แฟชั่นและการออกแบบสิ่งทอ การออกแบบกราฟิก การออกแบบอุตสาหกรรม การออกแบบตกแต่งภายใน ดนตรี โรงละครและการศึกษาละคร



การศึกษาและการฝึกอบรม



คุณจะได้เรียนรู้ว่า ทรัพยากรมนุษย์ มีการพัฒนาและเรียนรู้ตนเองอย่างไน คุณสามารถสมัครเข้าเรียนได้ทั้งระดับปริญญาตรีหรือสูงกว่าปริญญาตรี ซึ่งคอร์สนี้จะทำให้คุณจะมีประสบการณ์การสอนในโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัย

มีวิชาดังต่อไปนี้
การศึกษาผู้ใหญ่ CPD คำแนะนำด้านอาชีพ การศึกษาปฐมวัย การฝึกสอน การเรียนเพื่อการศึกษา การจัดการการศึกษา การวิจัยด้านการศึกษา จิตวิทยาด้านการศึกษา ครุศาสตร์ การศึกษาพิเศษ การฝึกอบรมครู การเรียนการสอนเฉพาะทาง



วิศวกรรมศาสตร์


การประยุกต์เอาทฤษฎีทางคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์มาสร้างเป็นงานออกแบบ รวมถึงพัฒนา และดูแลคุณภาพของระบบโครงสร้างพื้นฐานของอาคารและสิ่งปลูกสร้าง รวมไปถึงระบบควบคุมทางวิศวกรรมขนาดใหญ่

มีวิชาดังต่อไปนี้
วิศวกรรมการบิน วิศวกรรมชีวเวช วิศวกรรมเคมีและวัสดุ วิศวกรรมโยธา วิศวกรรมไฟฟ้า วิศวกรรมอิเล็คทรอนิคส์วิศวกรรมสิ่งแวดล้อม วิศวกรรมและเทคโนโลยี การผลิตและผลผลิต วิศวกรรมทางทะเล วิศวกรรมเครื่องกล        โลหะวิทยา การทำเหมืองแร่ขุดเจาะน้ำมันและแก๊ซธรรมชาติ วิศวกรรมพลังงาน การควบคุมคุณภาพ วิศวกรรมโครงสร้างโทรคมนาคม วิศวกรรมยานยนต์




การดูแลส่วนบุคคลและการออกกำลังกาย


ศาสตร์นี้เกี่ยวข้องกับคุณภาพชีวิตของมนุษย์และวิธีการเสริมสร้างร่างกายให้สมบูรณ์และมีความความสุนทรีย์ คุณจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับการรักษาความงามเกี่ยวกับผม, การรักษาความงามทั่วไป และการมีสุขภาพและไลฟ์สไตล์ที่แข็งแรง

มีวิชาดังต่อไปนี้
สุคนธบำบัด การเสริมความงาม การตัดแต่งทรงผม การนวดสุขภาพและการออกกำลังกาย การนวดกดจุด การบำบัดโรค


สุขภาพและการแพทย์


คุณจะได้เรียนในทุกแง่มุมของร่างกายมนุษย์ เพื่อการประเมินอาการของผู้ป่วยและวินิจฉัยเพื่อการรักษาอาการนั้นๆ รวมทั้งตอบสนองความต้องการด้านสุขภาพ รวมทั้งคุณจะได้เรียนรู้การรักษาด้วยยาและการผ่าตัด

มีวิชาดังต่อไปนี้
สุขภาพทางเลือก การให้คำปรึกษา ทันตแพทยศาสตร์ สุขภาพศึกษา สุขภาพและความปลอดภัย แพทยศาสตร์สูติศาสตร์และการผดุงครรภ์ การพยาบาลโภชนาการและสุขภาพ จักษุวิทยา เภสัชวิทยา สรีรวิทยา กายภาพบำบัดจิตวิทยา สาธารณสุข



มนุษยศาสตร์


คุณจะได้รับการฝึกเชิงการคิดวิเคราะห์และเชิงจริยธรรม รวมทั้งความรู้ทางประวัติศาสตร์ ซึ่งจะช่วยให้คุณสามารถประยุกต์ใช้ได้ในวงการต่างๆ เช่น การศึกษาวรรณกรรม, ศิลปะและสังคมศึกษา

มีวิชาดังต่อไปนี้

โบราณคดี คลาสสิก วัฒนธรรมศึกษา ภาษาอังกฤษศึกษา ศึกษาทั่วไป ประวัติศาสตร์ ภาษาวรรณคดี พิพิธพันธศึกษาปรัชญา ภูมิภาคศึกษา ศาสนาศึกษา



กฎหมาย


คุณจะได้เรียนรู้วิธีการทำงานระบบกฎหมายทั่วโลก ฎหมายนานาชาติและกฎหมายอื่นๆที่เกี่ยวข้องซึ่งกำลังเป็นที่นิยมของนักศึกษาต่างชาติที่กำลังมองหาโอกาสในระดับนานาชาติ

มีวิชาดังต่อไปนี้

กฎหมายแพ่ง กฎหมายอาญา กฎหมายระหว่างประเทศ ที่ปรึกษากฎหมาย กฎหมายศึกษา กฎหมายมหาชน



MBA


ปริญญาโทบริหารธุรกิจ ฝึกให้นักเรียนมีทักษะในการปฏิบัติเพื่อความสำเร็จในโลกของธุรกิจ ทุกภาคส่วนของเศรษฐกิจโลกมีความต้องการผู้สำเร็จการศึกษาสาขานี้

หลักสูตร MBA



สังคมศาสตร์และสื่อ


คุณจะได้เรียนรู้วิธีการที่มนุษย์มีปฏิสัมพันธ์เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของสังคม วิชาเรียนรวมถึง การแสดงออกในทางปฏิบัติในภาพยนตร์และสื่อ และทฤษฎีสังคมวิทยา และมานุษยวิทยา

มีวิชาดังต่อไปนี้

มนุษยวิทยา เศรษฐศาสตร์ ภาพยนตร์และโทรทัศน์ ภูมิศาสตร์มนุษย์ วารสารศาสตร์ บรรณารักษ์ศึกษา ภาษาศาสตร์สื่อ การถ่ายภาพ การเมืองสังคมศาสตร์ สังคมสงเคราะห์ สังคมวิทยา การเขียน



ท่องเที่ยวและการบริการ


คุณจะได้เรียนเกี่ยวกับงานบริการ, อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและผลกระทบระดับโลก คุณจะมีโอกาสที่จะมีอาชีพที่ได้เดินทางไปทั่วโลก รวมทั้งพัฒนาธุรกิจของคุณเอง

มีวิชาดังต่อไปนี้
การจัดการ การบิน และสายการบิน การจัดเลี้ยง การผลิตอาหารและเครื่องดื่ม ด้านการบริการ การจัดการโรงแรม    การจัดการด้านสันทนา การการเดินทางและการท่องเที่ยว

ที่มา http://www.hotcourses.in.th/study/all-subjects-courses/undergraduate-postgraduate-degrees/programs.html

สาขาวิชาใหม่มาแรง

1.วิศวกรรมการแพทย์



หรือเรียกอีกชื่อว่าชีวเวช (biomedical engineering)หรือวิศวกรรมการแพทย์ (medical engineering)

เป็นสาขาวิชาที่นำเอาความรู้ทางด้านคณิตศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ เช่น ความรู้กลศาสตร์ของไหล นำมาใช้กับการทำหัวใจเทียม หลอดเลือดเทียม , แบบจำลองทางคณิตศาสตร์ (mathematical modeling) ความรู้ทางการแพทย์ และวิทยาศาสตร์แขนงต่างๆ มาประยุกต์ใช้ร่วมกัน เพื่อออกแบบ สร้างหรือพัฒนาซอฟต์แวร์ อุปกรณ์ หรือเครื่องมือทางการแพทย์ที่ได้มาตรฐาน สามารถใช้งานได้จริง

รวมถึงการศึกษาค้นคว้าเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่มีความซับซ้อน และต้องการขั้นตอนการผลิตที่มีมาตรฐาน และ ประสิทธิภาพสูง เช่น นำมาอธิบายปรากฏการณ์การเปลี่ยนแปลงและการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็ง, ความรู้ทางกลศาสตร์และคอมพิวเตอร์ใช้ในการหุ่นยนต์นำการผ่าตัด เทคโนโลยีในเครื่องมือผ่าตัด เครื่องส่องดูอวัยวะในร่างกาย อุปกรณ์จ่ายยาอัตโนมัติ ข้อต่อหรืออวัยวะเทียม เครื่องวิเคราะห์สัญญาณหัวใจหรือสมอง อุปกรณ์ตรวจสอบระบบน้ำตาลในเลือด ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศทางการแพทย์ การออกแบบสร้างอุปกรณ์พิเศษที่จำเป็นต่อการบำบัดรักษา การตรวจวินิจฉัยทางการแพทย์ ไปจนถึงการสังเคราะห์โพลิเมอร์นำส่งยาเข้าสู่ร่างกาย รวมถึงการศึกษาและวิจัยอุปกรณ์เครื่องมือที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงทางการแพทย์ต่างๆ

สาขาวิศวกรรมชีวการแพทย์เป็นสาขาวิชาที่บูรณาการศาสตร์ต่างๆ ต่อไปนี้ วิศวกรรมศาสตร์ ทั้งไฟฟ้า คอมพิวเตอร์ เครื่องกล อิเล็กทรอนิกส์ นาโน วัสดุ หรือแม้แต่ความรู้ทางวิศวกรรมโยธาก็มีประโยชน์ในสาขานี้ รวมถึงความรู้ในสาขาแพทยศาสตร์ ชีววิทยา เคมี ชีวเคมี เภสัชศาสตร์ รังสีวิทยา เทคนิคการแพทย์ เทคโนโลยีสารสนเทศ และอื่นๆ เพื่อนำความรู้มาใช้พัฒนาหรือสร้างเครื่องมือ ซอฟต์แวร์ หรืออุปกรณ์ทางการแพทย์โดยเฉพาะ

มหาวิทยาลัยที่เปิดสอน :

1. มหาวิทยาลัยมหิดล (แห่งแรกของประเทศไทย)
2. จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
3. มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี
4. มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
5. มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

2.ทัศนมาตรศาสตร์



ทัศนมาตรศาสตร์ หรือถ้าเป็นที่ม.รังสิตจะเรียกว่า ทัศนศาสตร์ ถือเป็นสาขาที่มีคนเรียนน้อย และแน่นอนก็จบน้อยตามไปด้วย แต่ความต้องการ ?มีสูง?

วิชาชีพทัศนมาตรศาสตร์เป็นการประกอบอาชีพที่เกี่ยวกับการตรวจและทดสอบระบบการมองชัดของสายตา การทดสอบระบบการเคลื่อนไหวของดวงตา ตรวจคัดกรองสายตาที่ผิดปกติส่งต่อแพทย์ตามความเหมาะสม และแก้ไขฟื้นฟูความผิดปกติของการมองเห็นโดยการใช้แว่นตาเลนส์สัมผัสหรือคอนแท็คเลนซ์ และการฝึกการบริหารกล้ามเนื้อตาซึ่งไม่รวมถึงการแก้ไขความผิดปกติเนื่องจากระบบประสาทตาหรือโรคทางตาที่ไม่ได้เกิดจากความผิดปกติของการหักเหของแสงการแก้ไขความผิดปกติโดยการใช้ยาหรือการผ่าตัด และการใช้เลเซอร์ชนิดต่างๆ

มหาวิทยาลัยที่เปิดสอน :

1. มหาวิทยาลัยรังสิต

2. มหาวิทยาลัยรามคำแหง

3.วิศวกรรมการเงิน(Financial Engineering)


สาขาวิศวกรรมการเงิน(Financial Engineering) เป็นทักษะที่ใช้ความรู้ทางคณิตศาสตร์ คอมพิวเตอร์ สถิติ เศรษฐศาสตร์ และ การเงิน มาบูรณาการรวมกันโดยเน้นให้ผู้เรียนมีความรู้เรื่องดังกล่าวเป็นพื้นฐานสำคัญไปสู่ทักษะด้านการวิเคราะห์การเงิน การลงทุน และการจัดการความเสี่ยง ตลอดจนมีความสามารถในการใช้เครื่องคำนวณ และเครื่องคอมพิวเตอร์ได้เป็นอย่างดี

หลักสูตรในมหาวิทยาลัยของประเทศไทยจะสนับสนุนและส่งเสริมให้นักศึกษา โดยในชั้นปี 3 และปี 4 จะสามารถให้นักศึกษาสอบใบอนุญาตผู้ประกอบการธุรกิจการเงินเพื่อเตรียมความพร้อมสู่ตลาดงาน เช่น CISA (Certified Investment and Securities Analyst Program)ของประเทศไทยและ CFA (Chartered Financial Analyst)ของประเทศสหรัฐอเมริกาได้อีกด้วย

มหาวิทยาลัยที่เปิดสอน :

1. มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย (แห่งแรกในประเทศไทยที่เปิดสอนสาขาในด้านนี้)
2. จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
3. มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้า ธนบุรี

4.มีเดียทางการแพทย์


สาขาวิชามีเดียทางการแพทย์และวิทยาศาสตร์ (Medical & Science Media)

เป็นหลักสูตรที่มุ่งเน้นให้บัณฑิตมีความรู้ความสามารถ มีทักษะความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ในการออกแบบ และผลิตสือทางการแพทย์และสาธารณสุข โดยมุ่งเน้นการผลิตสื่อทางด้านเสียง กราฟฟิก ภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว 2 มิติ 3 มิติ และสามารถบูรณาการกับศาสตร์ทางการแพทย์ ในการผลิตสื่อเพื่อการเรียนรู้ และการวินิจฉัย การนำเสนอ การประชาสัมพันธ์ และการวิจัยเพื่อยกระดับมาตรฐานการดำเนินงานทางด้านแพทย์ และสาธารสุขให้สูงขึ้น

และสามารถชี้นำแนวทาง ในการพัฒนาศาสตร์ด้านมีเดียทางการแพทย์ และวิทยาศาสตร์ให้กับสังคม ตลอดจนปลูกฝังให้บัณฑิตเป็นผู้มีคุณธรรม จริยธรรม และรับผิดชอบต่อสังคมในวงการวิชาชีพโดยผู้ที่เรียนหลักสูตรนี้จะได้ปริญญาบัตร เทคโนโลยีบัณฑิต (มีเดียทางการแพทย์และวิทยาศาสตร์) หรือ Bachelor of Technology (Medical and Science Media)

มหาวิทยาลัยที่เปิดสอน :

มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้า ธนบุรี

5.นิเทศศาสตร์และนวัตกรรม


1. ปริญญาตรี นิเทศศาสตร์เกษตร คณะเทคโนโลยีการเกษตร สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง

นิเทศศาสตร์เกษตร (Agricultural Communication)
เป็นสาขาวิชาที่สามารถนำเอาความรู้ ข้อมูล ข่าวสาร เทคโนโลยีและวิทยาการใหม่ๆ ในวงการเกษตรส่งสารไปสู่เกษตรกรและชุมชนได้อย่างรวดเร็วและถูกต้องแม่นยำ สามารถนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ในการส่งเสริมพัฒนาการเกษตรและสาขาอื่นๆ ได้เพื่อให้การพัฒนาระบบการเกษตรของไทยมีความเข้มแข็งและยั่งยืน

2. ปริญญาตรี สื่อสารการกีฬา คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต
สื่อสารการกีฬา (Sport Communication)
คนไหน อยากแนว อยากเป็นนักข่าวสายกีฬา ต้องเลือกเรียนที่มหาวิทยาลัยรังสิต ในหลักสูตร การสื่อสารการกีฬาครับ โดยเฉพาะหลักสูตรนี้มีวิชาน่าเรียนอย่าง การถ่ายภาพกีฬา โครงการการสื่อสารและแคมเปญทางด้านกีฬา และการจัดการเกมส์กีฬาเป็นต้น

3. ปริญญาตรี นวัตกรรมสื่อสารมวลชน?คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย

วารสารศาสตร์คอนเวอร์เจนซ์ (convergence journalism)
เป็นการศึกษาหลักการและภารกิจของงานสื่อสารมวลขน โดยฝึกฝนการนำเสนอข่าวแบบคอนเวอร์เจซ์ ทั้งทางสื่อสิ่งพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์ และสื่อสังคมออนไลน์ เน้นเพิ่มพูนทักษะในการสืบค้นข้อมูล การวิเคราะห์ การเขียนและนำเสนอข่าวในรูปแบบต่าง ๆ ฝึกลงมือปฏิบัติจริงทั้งภายในห้องปฏิบัติการและในองค์กรสื่อมวลชน เพื่อเตรียมพร้อมเข้าสู่แวดวงอาชีพด้านวารสารศาสตร์คอนเวอร์เจนซ์

การสื่อสารการตลาดข้ามวัฒนธรรม (Intercultural Communication)
หลักสูตรนี้เป็นการพัฒนาแนวคิดด้านการสื่อสารการตลาดและแบรนด์ในบริบททางวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน ฝึกสร้างสรรค์งานสื่อสารการตลาดเชิงกลยุทธ์ และเพิ่มพูนทักษะการการใช้เครื่องมือและผลิตสื่อใหม่เพื่อการสื่อสารการตลาดข้ามวัฒนธรรม โดยเน้นการออกฝึกงานจริงในภาคธุรกิจ รวมทั้งเพิ่มพูนประสบการณ์ด้วยกิจกรรมศึกษาดูงานในโครงการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมกับประเทศในกลุ่มอาเซียนบวกสาม

6.สหวิทยาการทางสังคมศาสตร์




สาขาวิชาที่เกิดใหม่จากการรวมศาสตร์หลายๆศาสตร์ทางสังคมศาสตร์มาไว้ด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น ศาสตร์ทางด้านบริหารธุรกิจ รัฐศาสตร์ นิติศาสตร์ จิตวิทยา สังคมวิทยา และอื่นๆ ซึ่งเรียกการนำหลายๆศาสตร์มาประยุกต์ใช้นี้ว่าสหวิทยาการ (Interdisciplinaly) มี6 หลักสูตร จาก 2 มหาวิทยาลัยด้วยกัน

1. ปริญญาตรีสาขาวิชาผู้นําทางสังคม ธุรกิจ และการเมือง (Leadership Studies)วิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต

หลักสูตรศิลปศาสตรบัณฑิต สาขาผู้นำทางสังคม ธุรกิจ และการเมืองBachelor of Arts (Leadership Studiesนี้นั้น เป็นการพัฒนาหลักสูตร ของสาขาวิชาปรัชญา เศรษฐศาสตร์ และการเมือง ให้มีเนื้อหาสาระที่ครอบคลุมความรู้สาขาต่างๆที่จะมีส่วนพัฒนาภาวะผู้นำชัดเจนเพิ่มขึ้นครับ เป็นการศึกษาความรู้หลากหลายของวิชาทางสังคมศาสตร์ ทั้งรัฐศาสตร์ นิติศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ ปรัชญา บริหารธุรกิจ สังคมวิทยาและอีกหลายแขนงเพื่อทำให้บัณฑิตเป็นคนที่รู้รอบและรู้กว้างซึ่งสอดรับกับภาวะในปัจจุบันที่สังคมไทยต้องการคนที่มีทักษะในการทำความเข้าใจหลายศาสตร์ทางสังคมศาสตร์และสามารถนำมาประยุกต์ในในชีวิตประจำวันและการทำงานได้

2. ปริญญาตรี สหวิทยาการทางสังคมศาสตร์ วิทยาลัยสหวิทยาการ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

ปริญญาตรีสหวิทยาการสังคมศาสตร์Bachelor of Arts (Interdisciplinary Studies of Social Science)จะผลิตบัณฑิตที่มีองค์ความรู้ชัดเจนในการจัดการที่จำเป็นสำหรับการดำรงชีวิตของมนุษย์คือ ศาสตร์ด้านสังคมศาสตร์ มนุษยศาสตร์ พฤติกรรมศาสตร์ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และศาสตร์ในแนวประยุกต์อื่น ๆ โดยจะต้องมีลักษณะการเรียนการสอนในลักษณะสหวิทยาการ คือมีการเรียนการสอนลักษณะให้เอาองค์ความรู้ดังกล่าวมาโยงใยให้เห็นความเชื่อมโยงไม่ใช่สอนแบบแยกส่วน ซึ่งลักษณะการเรียนการสอนลักษณะสหวิทยาการนี้จะทำให้บัณฑิตที่มีความรู้ ความสามารถแบบองค์รวมที่นำไปใช้ประโยชน์จริงได้ และจากความเข้มแข็งในด้านการเรียนการสอนนี้ จะสามารถนำไปพัฒนาใช้เป็นประโยชน์ต่อการทำวิจัยที่มีคุณภาพต่อไปได้

7.วิศวกรรมซอฟต์แวร์และความรู้



หลายคนที่ชอบเล่นสื่อสังคมออนไลน์ (Social Media) หรือ เกมส์ออนไลน์ (Game Online) รวมถึงสิ่งประดิษฐ์ที่เป็นนวัตกรรมทางเทคโนโลยีต่างๆ เกี่ยวกับอุปกรณ์สื่อสาร และเทคโนโลยี ห้ามพลาด -วิศวกรรมซอฟแวร์และความรู้เป็นการพัฒนาระบบคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ที่ชาญฉลาดซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญต่อความสำเร็จขององค์กร วิศวกรรมซอฟต์แวร์และความรู้ศึกษาวิธีการพัฒนาและประยุกต์ใช้ระบบดังกล่าว ทั้งจากมุมมองของวิศวกรซอฟต์แวร์ที่เน้นกระบวนการพัฒนาซอฟต์แวร์ขนาดใหญ่ และจากมุมมองของวิศวกรความรู้ซึ่งเน้นกรรมวิธีการสร้าง สกัดและจัดการกับความรู้จากข้อมูลจำนวนมหาศาล
หลักสูตร ออกแบบโดยมุ่งเน้นการฝึกฝนให้นิสิต นักศึกษาได้นำความรู้ ด้านทฤษฎีมาใช้ปฏิบัติจริง และเน้นการพัฒนาและคิดค้นนวัตกรรมใหม่อีกด้วย โดยการศึกษาจะศึกษาความรู้พื้นฐานด้านวิศวกรรมคอมพิวเตอร์?กระบวนการพัฒนาซอฟต์แวร์ทั้ง กระบวนการตั้งแต่การวิเคราะห์ออกแบบไปจนถึงขั้นตอนของการทดสอบ นอกจากนี้ยังศึกษาด้านวิศวกรรมความรู้ และมีวิชาเลือกด้านปัญญาประดิษฐ์และด้านวิศวกรรมความรู้ เช่น การทำเหมืองข้อมูล คลังข้อมูล และระบบช่วยตัดสินใจ เป็นต้น

มหาวิทยาลัยที่เปิดหลักสูตรปริญญาตรีวิศวกรรมซอฟแวร์และความรู้ เช่น

1. คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน (หลักสูตรนานาชาติ)
2. คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
3. คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (หลักสูตรนานาชาติ)
4. คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีปทุม
5. คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยพะเยา
6. คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา (บางแสน)
7. คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยพายัพ
8. คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง
9. คณะวิศวกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหาร ลาดกระบัง

8.อาเซียนศึกษาและภาษาอาเซียน




อันที่จริงหลักสูตรการเรียนในสายมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ที่มีการเรียนการสอนเกี่ยวกับเพื่อนบ้านของเรานั้น มีเปิดสอนในระดับปริญญาตรีมากกว่า 14 ปีแล้ว ตั้งแต่ปี พ.ศ.2543 ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้ริเริ่มโครงการปริญญาตรี เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา หรือ (Southeast Asian Studies)ขึ้นในมหาวิทยาลัย

1.ปริญญาตรี หลักสูตรศิลปศาสตรบัณฑิตสาขาวิชาพม่าศึกษา ศูนย์พม่าศึกษาคณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร

2. ปริญญาตรี หลักสูตรศิลปศาสตรบัณฑิตสาขาวิชาภาษามลายู และสาขาวิชามลายูศึกษาคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี

3. ปริญญาตรี หลักสูตรศิลปศาสตรบัณฑิตสาขาภาษาเขมร และ สาขาภาษาเวียดนาม?ภาควิชาภาษาไทยและภาษาตะวันออก คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ

4. ปริญญาตรี หลักสูตรศิลปศาสตรบัณฑิต สาขาอาเซียนศึกษา โครงการภูมิภาคศึกษา สำนักวิชาศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์

9.การจัดการภูมิสังคมและการจัดการภูมิวัฒนธรรม



เพื่อนๆ คนไหนที่พร้อมรับกับกระแสการทำงานที่ต้องอาศัยองค์ความรู้จากหลายศาสตร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งใครที่ชอบด้านงานด้านการพัฒนา งานการจัดการ รวมถึงสนใจความรู้เกี่ยวกับด้านสังคม วัฒนธรรม ชุมชนท้องถิ่นแล้วหละก็ พลาดไม่ได้กับสาขาวิชาใหม่อย่าง”การจัดการภูมิวัฒนธรรม”และสาขาวิชา”การจัดการภูมิสังคม”วิทยาลัยโพธิวิชชาลัย มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ

1. ปริญญาตรี ศิลปศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาการจัดการภูมิวัฒนธรรมวิทยาลัยโพธิวิชชาลัย มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ

หลักสูตรศิลปศาสตรบัณฑิต การจัดการภูมิวัฒนธรรมBachelor of Arts (Geo-CulturaManagement)เป็นการผลิตบัณฑิตในโครงการบัณฑิตคืนถิ่น ในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้สำเร็จการศึกษากลับไปรับใช้ถิ่นบ้านเกิด มีการจัดการเรียนการสอนที่สอดคล้องกับสภาพภูมิสังคม ภูมิวัฒนธรรม บนฐานหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และเปิดโอกาสให้เยาวชนชายขอบได้มีโอกาสเข้าถึงการศึกษาระดับอุดมศึกษาครับ โดยนักศึกษาต้องเรียนองค์ความรู้ในการพึ่งตนเอง เศรษฐกิจพอเพียง การพัฒนาอย่างยั่งยืน การพัฒนาชุมชนและวัฒนธรรมท้องถิ่นเพื่อนำไปประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ชุมชน โดยต้องศึกษาที่วิทยาเขต องครักษ์ 2 ปี และวิทยาเขตที่แม่สอด จังหวัดตาก 2 ปี รวม 4 ปี

2.ปริญญาตรี ศิลปศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาการจัดการภูมิสังคมวิทยาลัยโพธิวิชชาลัย มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ

หลักสูตรศิลปศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาการจัดการภูมิสังคมBachelor of Arts (Geosocial-Based Management)มุ่งเน้นการจัดการศึกษาที่ เน้นกระบวนวิชาศึกษาทั่วไปที่พัฒนาผู้เรียนให้มีโลกทัศน์กว้างไกล คิดอย่างมีเหตุผล สามารถใช้ภาษาในการติดต่อสื่อสารความหมายได้ดี มีคุณธรรมจริยธรรม ตระหนักในคุณค่าของในวิถีพอเพียง สามารถนําความรู้ไปใช้ในการดําเนินชีวิต และดํารงตนอยู่ในสังคมได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้บัณฑิตยังเป็นผู้ที่สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นอย่างเกื้อกูลท่ามกลางความแตกต่างและความหลากหลายของชนชั้นทางสังคม

การจัดการภูมิสังคมจะเรียนลึกในเรื่องวิถีชีวิตและธรรมชาติ กสิกรรมและธรรมชาติ อาหารและการเกษตร วิทยาการชุมชนและเทคโนโลยี วิสาหกิจชุมชนซึ่งล้วนเป็นวิชาที่สำคัญในการพัฒนาชุมชนที่ยั่งยืนครับ ซึ่งนักศึกษาต้องเรียนที่มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ องครักษ์ จังหวัดนครนายกในชั้นปี ที่ 1 และ 2 และเรียนที่ วิทยาลัยโพธิวิชชาลัย สระแก้ว มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ จังหวัดสระแก้ว ในชั้นปี ที่ 3 และ 4

10.การศึกษาตลอดชีวิต(Lifelong Education)


เป็นสาขาวิชาซึ่งเป็นศิลปะในการสอนโดยอาศัยแนวคิดที่ว่า”คนทุกคนสามารถเรียนรู้ได้โดยไม่จำกัดโอกาสทางการศึกษา”คนทุกคนสามารถศึกษาได้อย่างเท่าเทียมกัน องค์กรทุกองค์กรต้องจัดการศึกษาเพื่อทุกคนในสังคม และสังคมต้องเอื้อประโยชน์ด้านการศึกษาแก่ทุกคน”Education for All and All for Education”

นักศึกษาที่เข้ามาเรียนในหลักสูตรนี้ จะเป็นนักศึกษาที่มีความรู้ในเรื่องการศึกษาตลอดชีวิต เกิดเจตคติที่ดี ทั้งนี้สามารุประยุกต์เอาความรู้ ทักษะทางการศึกษามาใช้กับตนเอง และสามารถจัดการศึกษาตลอดชีวิต ตอบสนองความต้องการของบุคคล องค์กร ชุมชนและสังคมโดยรวมได้นั่นเอง

วิชาที่สำคัญในการศึกษาของนักศึกษาในหลักสูตร ศึกษาศาสตรบัณฑิต สาขาการศึกษาตลอดชีวิตนี้ที่สำคัญ เช่นจิตวิทยาการศึกษา จิตวิทยาวัยรุ่น จิตวิทยาเด็ก จิตวิทยาผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ สื่อการศึกษาเบื้องต้น เทคนิคการสอนผู้ใหญ่ การวางแผนพัฒนาและปรัชญาแนวคิดทางการศึกษาตลอดชีวิต การศึกษานอกระบบโรงเรียน การจัดการสภาพการเรียนรู้ของผู้ใหญ่ การศึกษาทางเลือก การศึกษาตามอัธยาศัย การศึกษาทางไกลโดยผู้เรียนต้องเข้าใจในหลักการสอนคนทุกเพศทุกวัย และจัดการสอนให้เหมาะสมตามวัยและตามความสามารถของแต่ละบุคคล

ที่มา http://blog.eduzones.com/tonsungsook/106814

วันจันทร์ที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2559

เทคนิคในการเลือกคณะและจัดอันดับ

1.เทคนิคในการเลือกคณะและจัดอันดับ
หัวใจของการสมัครคัดเลือกเข้าศึกษาในสถาบันอุดมศึกษา ประการหนึ่งคือ การเลือกคณะ และจัดอันดับในการเลือกคณะได้สอดคล้องกับความสามารถของนักเรียนเอง ที่กล่าวเช่นนี้ก้เพราะว่า ถึงแม้ว่าเราจะมีความชื่นชอบที่จะเรียนในสาขาใดสาขาหนึ่ง แต่สาขานั้นเป็นสาขาที่ผู้เลือกส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่ทำคะแนนได้สูงกว่าความสามารถของนักเรียนมาก ถ้านักเรียนเลือกคณะนั้นโอกาสที่นักเรียนจะสอบติดในคณะนั้นก็เป็นไปได้ยากดังนั้นในการพิจารณาเลือกคณะและจัดอันดับ จึงควรคำนึงถึงความเป็นไปได้ในการเลือกที่เหมาะสมกับตนเองที่สุด ทั้งในด้านสติปัญญา ความสามารถ ความชอบ ความถนัด และสุขภาพ ฯลฯ โดยมีขั้นตอนที่ควรพิจารณาดังนี้
เทคนิคในการเลือกคณะ
การที่นักเรียนจะเลือกคณะอะไรบ้าง มีหลักเกณฑ์ที่ควรดูพิจารณาดังนี้
1.ต้องรู้กตนเองและสภาพแวดล้อม
1.1 รู้ถึงความสามารถทางด้านวชิาการของตนเอง
ในการเลือกคณะนั้นควรเลือกคณะที่มีความเหมาะสมกับระดับผลการเรียน และผลการสอบของตนเองอย่างแท้จริง ไม่เลือกสูง หรือต่ำกว่าความสามารถของตนเองจนเกินไป เช่น เลือกคณะทันตแพทย์ศาสคร์ จุฬา ทั้งที่เรียนได้เกรด 1 กว่า หรือ 2 เล็กน้อย และสอบได้คะแนนรวม = 15,000 คะแนน ในขณะที่คะแนนต่ำสุดในปี 2553 = 22,915.00 คะแนน ก็นับว่าเลือกสูงไป
1.2 ความชอบ/ความถนัด/ความสนใจของตัวเอง
ควรเลือกพิจารณาตามลำดับความชอบจากมากที่สุดไปหาน้อยที่สุด ทั้งนี้เนื่องจากบุคคลที่สนใจหรือชอบสิ่งใด ย่อมจะมีแรงจูงใจในการกระทำมากกว่าสิ่งที่ไม่ชอบ ดังนั้นคณะที่นักเรียนเลือกควรเป็นคณะที่นักเรียนสนใจจะศึกษาจริงๆ และเหมาะกับความสามารถของตนเองอย่างแท้จริง ไม่ควรเลือกตามเพื่อน หรือตามค่านิยม โดยไม่ดูความถนัดและความสนใจของตัวเอง เช่น ชอบเรียนฟิสิกส์ ชอบต่อวงจรไฟฟ้า ก็ควรเลือกเรียนทางด้านวิศวกรรม ชอบวาดรูป ก็อาจจะเลือกทางด้านศิลปะ เป็นต้น
1.3 ลักษณะนิสัยส่วนตัว
เพราะอาชีพหลายอาชีพต้งการบุคคลที่มีลักษณะพิเศษเฉพาะด้าน เช่น งานด้านศิลปะ หรืองานด้านแพทย์-พยาบาล เป็นต้น
1.4 สุขภาพและลักษณะร่างกาย
เพราะบางคณะกำหนดคุณสมบัติเฉพาะไว้ เช่น ส่วนสูง,สายตา หรือโรคบางโรค หรือความพิการในอวัยวะบางส่วนของร่างกาย ซึ่งสิ่งต่างๆ เหล่านี้อาจเป็นสิ่งจำเป็นในการเรียน และการประกอบอาชีพในอนาคต เป็นต้น
1.5 ดูความต้องการของญาติพี่น้อง และฐานะทางครอบครัว
ประกอบด้วยว่า จะได้รับการสนับสนุนให้เข้าศึกษาในคณะนั้นมากน้อยเพียงใด หรือฐานะทางบ้านสามารถสนับสนุนค่าใช้จ่ายได้ตลดระยะเวลาในการศึกษาหรือไม่
2.ต้องรู้ข้อมูลเกี่ยวกับคณะ/สถาบันต่างๆ
2.1 ในการพิจารณาเลือกคณะ อย่าลืม!
ศึกษาคุณสมบัติ และเกณฑ์ในการสมัครเข้าศึกษาในคณะ/สถาบันนั้นๆ ด้วย เพราะแต่ละมหาวิทยาลัย/สถาบันจะกำหนดกฎเกณฑ์ออกมาหลากหลาย แม้แต่สาขาเดียวกันแต่ต่างสถาบันก็ยังมีเกณฑ์ครสมบัติที่ไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับปรัชญาของแต่ละสถาบัน ดังนั้น นักเรียนจึงต้งศึกษารายละเอียดให้ดรก่อนว่า เรามีคุณสมบัติตามที่คณะต้องการหรือไม่

ถ้านักเรียนมีคุณสมบัติไม่ครบตามข้อกำหนดที่ได้กำหนดไว้ ก็ไม่ควรเลือกเพราะจะทำให้โดนตัดสิทธิ์เช่นเดียวกัน ดังนั้นก่อนที่จะตัดสินใจเลือกคณะ จึงควรศึกษาคุณสมบัติและข้อกำหนดของคณะนั้นๆ ให้ชัดเจนและเข้าใจเสียก่อน หากยังไม่แน่ใจควรศึกษา หรือถามผู้รู้ก่อน ทั้งนี้เพื่อประโยชน์ของตัวนักเรียนเอง
2.2 คณที่เราสนใจนั้นมีกี่มหาวิทยาลัยที่เปิดสอน
และสภาพในแต่ละมหาวิทยาลัยเป็นอย่างไร เช่น ที่ตั้ง, ระบบการเรียนการสอน, วิชาที่เรียน, การวัดผล, บรรยากาศโดยทั่วไปเป็นอย่างไร ถ้านักเรียนสอบเข้าคณะนั้นได้ นักเรียนจะเรียนหรือไม่ (เพราะถ้าหากนักเรียนสอบเข้าไปได้และสละสิทธิ์ก็จะเป็นการไปกันที่ของคนอื้นที่ต้องการจะเข้าศึกษาในคณะนั้นจริงๆ)
2.3 สัดส่วนการแข่งขันของแต่ละคณะ/สถาบัน
ดูได้จากสถิติคะแนนสูง-ต่ำ ของบัณฑิตแนะแนว ที่มีข้อมูลจำนวนผู้สมัคร จำนวนผู้สอบผ่าน ข้อเขียน ของปีการศึกษา 2553 ไว้ หรือความนิยมของสถาบันว่ามีผู้สนใจเลือกสมัครมากน้อยแค่ไหน
2.4 จำนวนรับที่แต่ละมหาวิทยาลัย/สถาบันจะรับได้
จำนวนที่รับมากอาจแข่งขันกันน้อยกว่าจำนวนที่ได้รับน้อย
2.เทคนิคในการจัดอันดับ
ในการสมัครคัดเลือกเข้าศึกษาในสถาบันการศึกษา ในระบบ  Admissions   ผู้สมัครแต่ละคนมีสิทธิเลือกคณะได้ 4 คณะซึ่งไม่จำเป็นจะต้องอยู่ในมหาวิทยาลัยเดียวกัน และผู้ที่เลือกคณะเดียวกันแต่อันดับไม่ตรงกันก็มีสิทธิเท่ากันที่จะติดคณะนั้น ถ้าคณะเข้าถึงเกณฑ์ เช่น นาย ก  เลือกรัฐศาสตร์เป็นอันดับ  1  นาย ข เลือกรัฐศาสตร์เป็นอันดับ 3 ปรากฎว่าคะแนนเขาทั้งคู่ สูงกว่าคะแนนต่ำสุดของคณะรัฐศาสตร์  (คือทำคะแนนได้สูงกว่าคนสุดท้ายที่สอบเข้าคณะรัฐศาสตร์ได้)  เขาทั้งคู่ก็จะได้รับการคัดเลือกให้เข้าเรียนคณะรัฐศาสตร์เหมือนกัน  สำหรับหลักเกณฑ์ในการจัดคณะมีหลักเกณ์ดังนี้
1.รวบรวมคณะที่ตนเองพิจารณาว่าเหมาะสมแล้ว  ทั้งในแง่ความสามารถทางสติปัญญา  ความถนัดและความสนใจ อาจมากกว่า 4 คณะก็ได้
2.นำคณะต่ำสุดของคณะทั้งหมดที่เลือกไว้  มาเรียงอันดับอีกครั้ง  เพื่อให้มีโอกาสในการเข้าศึกษาต่อมากยิ่งขึ้น  โดยเรียงอับดับคณะจากคณะที่มีคะแนนต่ำสุดที่  “มากที่สุด”  ไว้เป็นอันดับแรก  คณะที่มีคะแนนต่ำที่สุด “น้อยกว่า” รองลงมาเรื่อยๆ เช่น
                นางสาวนิด  เลือกคณะที่ต้องการ  4  คณะโดยเรียงจากความชอบได้ดังนี้
คณะ
สถาบัน
คะแนนต่ำสุด
%ต่ำสุด
ทันตแพทยศาสตร์
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
22,915.00
76.38
เภสัชศาสตร์ -เภสัชศาสตร์
มหิดล
20,356.50
67.86
พยาบาลศาสตร์
เชียงใหม่
17,714.55
59.05
พยาบาลศาสตร์
ขอนแก่น
18,668.35
62.23
                
ในการสมัครคัดเลือกเข้าศึกษานางสาวนิด ควรเรียงอันดับคณะดังนี้
อันดับที่ 1 คณะทันตแพทย์ศาสตร์ จุฬาฯ                             คณะต่ำสุด             22,915.00 (76.38)
อันดับที่ 2 คณะเภสัชศาสตร์ –เภสัชศาสตร์ ม.มหิดล               คณะต่ำสุด             20,356.50 (7.86)
อันดับที่ 3 คณะพยาบาลศาสตร์   ม.ขอนแก่น                       คณะต่ำสุด             18,668.35 (62.23)
อันดับที่ 4 คณะพยาบาลศาสตร์   ม.เชียงใหม่                      คณะต่ำสุด             17,714.55 (59.05)
หมายเหตุ

                ในการจัดเรียงอันดับด้วยวิธีนี้เหมาะกับการจัดเรียงคณะที่มีเงื่อนไขต่างๆ  เหมือนกัน เช่น จำนวนวิชาสอบ,ค่าน้ำหนักคะแนน  แต่ถ้าคณะที่มีความแตกต่างกัน  เช่น  วิชาสอบไม่เหมือนกัน ค่าน้ำหนักแตกต่างกัน ก็ต้องพิจารณาปัจจัยต่างๆ เหล่านี้ด้วยว่าจะเรียงอันดับคะแนนอย่างไร
3.การจัดอันดับโดยคร่าวๆทั่วไปมีลักษณะดังนี้
- อันดับ 1 หรือ อันดับ 1 ถึง 2   เลือกคณะที่เราอยากเรียนจริงๆ  คือ ชอบมาก  แต่ไม่ควรให้คะแนนสูงกว่าความสามารถจนเกินไป
-  อันดับ 3 หรือ อันดับ 2 ถึง 3 เลือกประเภทวิชาที่เราชอบอยู่บ้าง และคะแนนควรรองๆ ลงมา 
- อันดับ 4 ให้เลือกคณะที่มีคะแนนต่ำที่สุดเท่าที่คิดว่าพอจะเรียนได้ถ้าสอบติด  โดยคณะที่เลือกเป็นอันดับที่ 4 ควรมี ”คะแนนต่ำสุด” ไม่สูงกว่าคะแนนรวมที่นักเรียนทำได้
3.ข้อควรระวังในการเลือกคณะและจัดอันดับ
1.ไม่ควรเลือกสถบันยอดนิยมทั้งหมด 4 อันดับ
ควรเลือกปะปนสถาบันที่มีความนิยมรองๆ ลงไป หรืออย่าเจาะจงว่าต้องเป็นสถาบันนั้นๆ สถาบันนี้ ขอให้พิจารณาคณะ/สาขาวิชาที่นักเรียนมีความสนใจ ความชอบที่จะเรียน ตลาดแรงงานมีความต้องการ และ คะแนนสูง-ต่ำในปีที่ผ่านๆมา ไม่สูงเกินความสามารถของตน
2.ไม่ควรเลือกคณะตามใจผู้อื่น
ควรถือหลักว่า "ไม่มีใครรู้จักตัวเราและรู้ความต้องการของตนได้มากไปกว่าตนเอง" สิ่งสำคัญ คือ เลือกเพราะอยากจะเรียน อยากประกอบอาชีพนั้นจริงๆ ถ้าผู้ปกครองมีความคาดหวังในบางคณะ/บางสาขาวิชาที่ไม่ตรงกับความต้องการองนักเรียน ควรหันหน้ามาปรึกษากันด้วยเหตุผล
3.ไม่ควรเลืกคณะที่มีจำนวนวิชาสอบแตกต่างกันมาก
ควรเลือกคณะที่สอบวิชาน้อยแต่เลือกคณะได้ครบ 4อันดับ เพื่อจะได้มีเวลาดูหนังสือได้เต็มที่ ซึ่งถ้าเป็นระบบ Admissions นั้น ก็ควรในส่วนของการสอบ วิชา PAT ว่ามีวิชาที่ต้องสอบแตกต่างกันอย่างไร ถ้านักเรียนเลือกกลุ่มสาขาที่จะเรียนแตกต่างกันมาก จะทำให้ต้องสอบวิชา PAT มากขึ้น
4.ไม่ควรเลือกคณะที่มีคะแนนต่ำสุดติดหมดกันหมด
อันตรายมากควรเลี่ยงเสีย โดยหันไปพิจารณาเลืกคณะเดียวกันของมหาวิทยาลัยอื่นที่อาจจะมีคะแนนต่ำกว่าเข้ามาแทนก็ได้ตามความเหมาะสม เพื่อให้มีการทิ้งช่วงคะแนนบ้าง สำหรับการทิ้งช่วงห่างของคะแนนต่ำสุด ให้พิจารณาจากระดับความสามารถทางวิชาการและสติปัญญาของตนเป็นเกณฑ์ กล่าวคือ หากเป็นคนเรียนเก่ง ช่วงห่างของคะแนนก้ไม่ต้องมากนัก แต่ผู้มีผลการเรียนปานกลางหรือต่ำควรทิ้งช่วงห่างคะแนนมากๆ
แหล่งที่มา :
สุดยอดคู่มือเลือกคณะ  สำนักงานบัณฑิตแนะแนว
ที่มา http://www.trueplookpanya.com/new/cms_detail/guidance/13724

การตั้งคำถาม

การใช้คำถามเป็นเทคนิคสำคัญในการเสาะแสวงหาความรู้ที่มีประสิทธิภาพ  เป็นกลวิธีการสอนที่ก่อให้เกิดการเรียนรู้ที่พัฒนาทักษะการคิด  การตีความ  การไตร่ตรอง  การถ่ายทอดความคิด  สามารถนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงและปรับปรุงการจัดกระบวนการเรียนรู้ได้เป็นอย่างดี
            การถามเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเรียนรู้  ช่วยให้ผู้เรียนสร้างความรู้  ความเข้าใจ และพัฒนาความคิดใหม่ ๆ กระบวนการถามจะช่วยขยายทักษะการคิด  ทำความเข้าใจให้กระจ่าง  ได้ข้อมูลป้อนกลับทั้งด้านการเรียนการสอน  ก่อให้เกิดการทบทวน  การเชื่อมโยงระหว่างความคิดต่าง ๆ  ส่งเสริมความอยากรู้อยากเห็นและเกิดความท้าทาย

ระดับของการตั้งคำถาม
การตั้งคำถามมี  2  ระดับ  คือ  คำถามระดับพื้นฐาน และคำถามระดับสูง  ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้
            1)  คำถามระดับพื้นฐาน   เป็นการถามความรู้  ความจำ  เป็นคำถามที่ใช้ความคิดทั่วไป หรือความคิดระดับต่ำ  ใช้พื้นฐานความรู้เดิมหรือสิ่งที่ประจักษ์ในการตอบ  เนื่องจากเป็นคำถามที่ฝึกให้เกิดความคล่องตัวในการตอบ  คำถามในระดับนี้เป็นการประเมินความพร้อมของผู้เรียนก่อนเรียน  วินิจฉัยจุดอ่อน – จุดแข็ง  และสรุปเนื้อหาที่เรียนไปแล้ว  คำถามระดับพื้นฐานได้แก่
                  1.1)  คำถามให้สังเกต   เป็นคำถามที่ให้ผู้เรียนคิดตอบจากการสังเกต  เป็นคำถามที่ต้องการให้ผู้เรียนใช้ประสาทสัมผัสทั้งห้าในการสืบค้นหาคำตอบ  คือ  ใช้ตาดู  มือสัมผัส  จมูกดมกลิ่น  ลิ้นชิมรส  และหูฟังเสียง  ตัวอย่างคำถามเช่น
                         æ   เมื่อนักเรียนฟังเพลงนี้แล้วรู้สึกอย่างไร
                         æ   ภาพนี้มีลักษณะอย่างไร
                         æ   สารเคมีใน  2  บีกเกอร์  ต่างกันอย่างไร
                         æ   พื้นผิวของวัตถุเป็นอย่างไร  
                  1.2)  คำถามทบทวนความจำ   เป็นคำถามที่ใช้ทบทวนความรู้เดิมของผู้เรียน  เพื่อใช้เชื่อมโยงไปสู่ความรู้ใหม่ก่อนเริ่มบทเรียน  ตัวอย่างคำถามเช่น
                         æ   วันวิสาขบูชาตรงกับวันใด
                         æ   ดาวเคราะห์ดวงใดที่มีขนาดใหญ่ที่สุด
                         æ   ใครเป็นผู้แต่งเรื่องอิเหนา
                         æ   เมื่อเกิดอาการแพ้ยาควรโทรศัพท์ไปที่เบอร์ใด
                  1.3)  คำถามที่ให้บอกความหมายหรือคำจำกัดความ   เป็นการถามความเข้าใจ  โดยการให้บอกความหมายของข้อมูลต่าง ๆ  ตัวอย่างคำถามเช่น
                         æ   คำว่าสิทธิมนุษยชนหมายความว่าอย่างไร
                         æ   ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาคืออะไร
                         æ   สถิติ (Statistics)  หมายความว่าอย่างไร
                         æ   บอกความหมายของ  Passive  Voice
                  1.4)  คำถามบ่งชี้หรือระบุ   เป็นคำถามที่ให้ผู้เรียนบ่งชี้หรือระบุคำตอบจากคำถามให้ถูกต้อง  ตัวอย่างคำถามเช่น
                         æ   ประโยคที่ปรากฏบนกระดานประโยคใดบ้างที่เป็น Past  Simple  Tense
                         æ   คำใดต่อไปนี้เป็นคำควบกล้ำไม่แท้
                         æ   ระบุชื่อสัตว์ที่มีกระดูกสันหลัง
                         æ   ประเทศใดบ้างที่เป็นสมาชิก APEC

            2)  คำถามระดับสูง   เป็นการถามให้คิดค้น  หมายถึง  คำตอบที่ผู้เรียนตอบต้องใช้ความคิดซับซ้อน  เป็นการส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์และกระตุ้นให้ผู้เรียนสามารถใช้สมองทั้งซีกซ้ายและซีกขวาในการคิดหาคำตอบ  โดยอาจใช้ความรู้หรือประสบการณ์เดิมมาเป็นพื้นฐานในการคิดและตอบคำถาม  ตัวอย่างคำถามระดับสูงได้แก่
                  2.1)  คำถามให้อธิบาย   เป็นการถามโดยให้ผู้เรียนตีความหมาย  ขยายความ  โดยการให้อธิบายแนวคิดของข้อมูลต่าง ๆ  ตัวอย่างคำถามเช่น
                         æ   เพราะเหตุใดใบไม้จึงมีสีเขียว
                         æ   นักเรียนควรมีบทบาทหน้าที่ในโรงเรียนอย่างไร
                         æ   ชาวพุทธที่ดีควรปฏิบัติตนอย่างไร
                         æ   นักเรียนจะปฏิบัติตนอย่างไรจึงจะทำให้ร่างกายแข็งแรง
                  2.2)  คำถามให้เปรียบเทียบ   เป็นการตั้งคำถามให้ผู้เรียนสามารถจำแนกความเหมือน – ความแตกต่างของข้อมูลได้  ตัวอย่างคำถามเช่น
                         æ   พืชใบเลี้ยงคู่ต่างจากพืชใบเลี้ยงเดี่ยวอย่างไร
                         æ   จงเปรียบเทียบวิถีชีวิตของคนไทยในภูมิภาคต่าง ๆ ของประเทศไทย
                         æ   DNA  กับ  RNA  แตกต่างกันหรือไม่  อย่างไร
                         æ   สังคมเมืองกับสังคมชนบทเหมือนและต่างกันอย่างไร
                  2.3)  คำถามให้วิเคราะห์   เป็นคำถามให้ผู้เรียนวิเคราะห์  แยกแยะปัญหา  จัดหมวดหมู่  วิจารณ์แนวคิด หรือบอกความสัมพันธ์และเหตุผล  ตัวอย่างคำถามเช่น
                         æ   อะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดภาวะโลกร้อน
                         æ   วัฒนธรรมแบ่งออกเป็นกี่ประเภท  อะไรบ้าง
                         æ   สาเหตุใดที่ทำให้นางวันทองถูกประหารชีวิต
                         æ   การติดยาเสพติดของเยาวชนเกิดจากสาเหตุใด
                  2.4)  คำถามให้ยกตัวอย่าง   เป็นการถามให้ผู้เรียนใช้ความสามารถในการคิด  นำมายกตัวอย่าง  ตัวอย่างคำถามเช่น
                         æ   ร่างกายขับของเสียออกจากส่วนใดบ้าง
                         æ   ยกตัวอย่างการเคลื่อนที่แบบโปรเจกไตล์
                         æ   หินอัคนีสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างไรบ้าง
                         æ   อาหารคาวหวานในพระราชนิพนธ์กาพย์เห่ชมเครื่องคาวหวานได้แก่อะไรบ้าง
                  2.5)  คำถามให้สรุป   เป็นการใช้คำถามเมื่อจบบทเรียน  เพื่อให้ทราบว่าผู้เรียนได้รับความรู้หรือมีความก้าวหน้าในการเรียนมากน้อยเพียงใด  และเป็นการช่วยเน้นย้ำความรู้ที่ได้เรียนไปแล้ว  ทำให้สามารถจดจำเนื้อหาได้ดียิ่งขึ้น  ตัวอย่างคำถามเช่น
                         æ   จงสรุปเหตุผลที่ทำให้พระเจ้าตากสินทรงย้ายเมืองหลวง
                         æ   เมื่อนักเรียนอ่านบทความเรื่องนี้แล้วนักเรียนได้ข้อคิดอะไรบ้าง
                         æ   จงสรุปแนวทางในการอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำเพื่อให้เกิดคุณค่าสูงสุด
                         æ   จงสรุปขั้นตอนการทำผ้าบาติค
                  2.6)  คำถามเพื่อให้ประเมินและเลือกทางเลือก   เป็นการใช้คำถามที่ให้ผู้เรียนเปรียบเทียบหรือใช้วิจารณญาณในการตัดสินใจเลือกทางเลือกที่หลากหลาย  ตัวอย่างคำถามเช่น
                         æ   การว่ายน้ำกับการวิ่งเหยาะ  อย่างไหนเป็นการออกกำลังกายที่ดีกว่ากัน  เพราะ
                                  เหตุใด
                         æ   ระหว่างน้ำอัดลมกับนมอย่างไหนมีประโยชน์ต่อร่างกายมากกว่ากัน  เพราะเหตุใด
                         æ   ดินร่วน  ดินทราย  และดินเหนียว  ดินชนิดใดเหมาะแก่การปลูกมะม่วงมากกว่ากัน
                                  เพราะเหตุใด
                         æ   ไก่ทอดกับสลัดไก่  นักเรียนจะเลือกรับประทานอาหารชนิดใด  เพราะเหตุใด
                  2.7)  คำถามให้ประยุกต์   เป็นการถามให้ผู้เรียนใช้พื้นฐานความรู้เดิมที่มีอยู่มาประยุกต์ใช้ในสถานการณ์ใหม่หรือในชีวิตประจำวัน  ตัวอย่างคำถามเช่น
                         æ   นักเรียนมีวิธีการประหยัดพลังงานอย่างไรบ้าง
                         æ   เมื่อนักเรียนเห็นเพื่อนในห้องขาแพลง  นักเรียนจะทำการปฐมพยาบาลอย่างไร
                         æ   นักเรียนนำปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงไปประยุกต์ใช้ในการดำเนินชีวิต
                                   ประจำวันอย่างไรบ้าง
                         æ   นักเรียนจะทำการส่งข้อความผ่านทางอีเมลล์ได้อย่างไร
                  2.8)  คำถามให้สร้างหรือคิดค้นสิ่งใหม่ ๆ  หรือผลิตผลใหม่ ๆ   เป็นลักษณะการถามให้ผู้เรียนคิดสร้างสรรค์ผลงานใหม่ ๆ ที่ไม่ซ้ำกับผู้อื่นหรือที่มีอยู่แล้ว  ตัวอย่างคำถามเช่น
                         æ   กระดาษหนังสือพิมพ์ที่ไม่ใช้แล้ว  สามารถนำไปประดิษฐ์ของเล่นอะไรได้บ้าง
                         æ   กล่องหรือลังไม้เก่า ๆ สามารถดัดแปลงกลับไปใช้ให้เกิดประโยชน์ได้อย่างไร
                         æ   เสื้อผ้าที่ไม่ใช้แล้ว  นักเรียนจะนำไปดัดแปลงเป็นสิ่งใดเพื่อให้เกิดประโยชน์
                         æ   นักเรียนจะนำกระดาษที่ใช้เพียงหน้าเดียวมาประดิษฐ์เป็นสิ่งใดบ้าง
            การตั้งคำถามระดับสูงจะทำให้ผู้เรียนเกิดทักษะการคิดระดับสูง  และเป็นคนมีเหตุผล  ผู้เรียนไม่เพียงแต่จดจำความรู้  ข้อเท็จจริงได้อย่างเดียวแต่สามารถนำความรู้ไปใช้ในการแก้ปัญหา  วิเคราะห์ และประเมินสิ่งที่ถามได้  นอกจากนี้ยังช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจสาระสำคัญของเรื่องราวที่เรียนได้อย่างถูกต้อง
และกระตุ้นให้ผู้เรียนค้นหาข้อมูลมาตอบคำถามด้วยตนเอง
            การตอบคำถามระดับสูง  ผู้สอนต้องให้เวลาผู้เรียนในการคิดหาคำตอบเป็นเวลามากกว่าการตอบคำถามระดับพื้นฐาน  เพราะผู้เรียนต้องใช้เวลาในการคิดวิเคราะห์อย่างลึกซึ้งและมีวิจารณญาณในการตอบคำถาม  ความผิดพลาดอย่างหนึ่งของการตั้งคำถามคือ  การถามแล้วต้องการคำตอบในทันทีโดยไม่ให้เวลาผู้เรียนในการคิดหาคำตอบ

ที่มา http://www1.nsdv.go.th/innovation/questioning.htm